วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2550

HAPPY NEW YEAR 2008

misc : Giant

วันก่อนไปเห็นรูปยักษ์ของญี่ปุ่นมาก็คิดได้ว่า
"เออยักษ์ของแต่ละประเทศนี่มันไม่เหมือนกันเนอะ"
ยักษ์ของทางบ้านเรานี่ค่อนข้างจะออกแนวน่ากลัว
ตามความเชื่อของคนโบราณ ยักษ์มีเขี้ยวยาวน่ากลัว
จับคนกินเป็นอาหาร แต่จริงๆแล้วต้นกำเนิดของยักษ์นั้น
ไม่แน่ชัด แต่ยักษ์ไทยนั้นปรากฎอยู่ในคัมภีร์ทั้งที่เป็นพุทธ
และพราหมณ์
ได้พรรณนาให้ทราบว่า ยักษ์นั้นเป็นพวก
อมนุษย์ คือไม่ใช่ทั้งมนุษย์และเทวดา ซึ่งทำให้ถูกมองว่า
น่ากลัวและดุร้าย
ซึ่งจริงๆแล้วยักษ์นั้นมีทั้งยักษ์ดีและยักษ์ที่ดุร้าย

เดิมประติมากรรมรูปยักษ์นั้นได้ปรากฏมานานแล้ว แต่สันนิษฐานว่าเพิ่งจะมาแพร่หลายเด่นชัดเป็นศิลปะอยู่ตาม
วัดวาอารามในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ ทั้งนี้อาจจะด้วยอิทธิพล
ของพระราชนิพนธ์เรื่อง รามเกียรติ์ และภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เป็นส่วนให้เกิดจินตนาการในการ
สร้างศิลปกรรมขึ้นมา



การที่ยักษ์ถือกระบองเฝ้าประตูนั้น กล่าวกันว่า ยักษ์จะทำหน้าที่่
ช่วยปกป้องรักษา ขับไล่ภูติผี ความชั่วร้ายต่างๆ และปกป้อง
พระพุทธศาสนา

ทีนี้ก็มาดูยักษ์ของประเทศอื่นดูบ้าง อันนี้เป็นยักษ์ของญี่ปุ่นซึ่ง
อยู่ทางเอเชียเหมือนกัน คาดว่าเพราะวัฒนธรรมคล้ายๆกันยักษ์
ในจินตนาการของคนญี่ปุ่นจึงออกมาดูแล้วดุร้ายเหมือนกันแต่
ดูแล้วรู้สึกมีความดุร้ายน่ากลัวกว่าของไทยที่ดูน่ากลัวเฉพาะเขี้ยว
แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมยักษ์ต้องคู่กับกระบอง(จริงๆแล้ว
ยักษ์ที่ถืออย่างอื่นก็มี ซึ่งพวกนี้ดูแล้วจะออกแนวๆเ้ทพมากกว่า)





ก็อย่างที่ว่า ดูแล้วบางทียักษ์ก็ดูเหมือนพวกเทพคงเพราะขนาดที่
ใหญ่โตทำให้ดูยิ่งใหญ่ ทรงอำนาจ เหมือนพวกยักษ์ของทาง
ชาติตะวันตกที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ธรรมดาแต่มีขนาดที่ใหญ่โต
กว่ามากซึ่งยักษ์ของทางตะวันตกนั้นจะดูแล้วไม่ดุร้ายแต่เป็นเหมือน
เทพผู้ปกครองมากกว่า และมีชื่อเรียกต่างๆเช่น TitanหรือOrion
รวมไปถึงเหล่าเทพในนิยายกรีกต่างๆ

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Lesson VI : It's about "Definition"

ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รายงานความคืบหน้ามานานมากแล้ว
ครั้งที่แล้วดันลืมว่าวันจันทร์ต้องไปเพชรบุรีกับคณะ
เลยกลับมาอัพเดทบล็อคไม่ทันแล้วก็ลืมอัพไปเลย :P

ครั้งนี้ก็จะมารายงานความคืบหน้าของโปรเจค
จากที่ลองคิดวิธีสร้างโครงสร้างร่วมของงานหลายๆงาน
ไม่ว่าจะลองสร้างcompositionโดนการกำหนดระยะห่าง
ของวัตถุแต่ละชิ้นไว้ตายตัว หรือ ทำรูปถ่ายหรือIllust
โดยให้แต่ละภาพมีจุดร่วมเช่น ทุกคนในภาพใส่เสื้อมีกระดุม
เหมือนกันหมด หรือ ทุกภาพต้องมีนาฬิกา แต่ดูเหมือนว่า
มันจะหาสาระไม่ค่อยได้ยังไงไม่รู้ คล้ายว่าจะบังคับคนดู
เกินไปอะไรแบบนั้น เลยคิดขึ้นมาว่าต้องตัดสินใจว่าจะ
"ซ่อน" โครงสร้างหรือ เปิดเผยให้ผู้ชมเห็น

ก็เลยลองไปหาอะไรๆในห้องสมุดดูเพิ่มเติม
ก็ไปเจอพวกหนังสือออกแบบที่ชื่อว่า
The International Design Yearbook ของปีต่างๆ
ซึ่งรวบรวมงานออกแบบของดีไซเนอร์หลายๆคนของ
แต่ละปีไว้ พอเอามาลองเปิดดูก็เห็นงานออกแบบพวก
เก้าอี้ โต๊ะ เครื่องเรือนต่างๆ ที่ดูแปลกๆ ก็คิดขึ้นมาได้ว่า
เออ ถ้าพูดถึงโครงสร้างลองกลับไปดูพวกงาน3มิติ

เหมือนตัวอย่างที่เคยบอกไปว่า หมากรุก ตัวคิงหมายถึง
หมากที่เดินได้8ทิศ แต่ไม่ได้หมายถึงตัวหมากที่มีรูปลักษณ์
ทรงสูงมีกางเขนบนยอด ก็ลองมาคิดว่า เก้าอี้ มันคือสิ่งที่
นั่งได้โดยไม่ล้ม แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องมี 4 ขา
หรือนาฬิกาก็คือสิ่งที่ใช้บอกเวลา แต่ไม่จำเป็นต้องมีเข็ม
สำหรับบอกเวลาหรือตัวเลข

ทีนี้ก็เลยลองมาเขียนๆดู


พยายามยังไงมันก็ยังดูธรรมดาๆไม่มีอะไรน่าสนใจ
ที่คิดไว้ก็คือ อยากได้งานที่มันดูแล้วรู้ว่าเป็นอะไร
(เพราะข้อกำหนดที่ถูกกำหนดไว้ว่าสิ่งนี้เป็นอะไร
เช่น คุณสมบัติว่านั่งได้ วิ่งได้ จึงทำให้จำได้ว่า
สิ่งนี้มันใช้งานอย่างนี้นะ) แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ไม่ได้้
กำหนดตายตัวว่า เก้าอี้้ต้องมีขา หรืออื่นๆ ก็พยายาม
สร้างสิ่งที่ดูไม่เหมือนต้นแบบของมันแต่ก็ยังเป็นสิ่งนั้นอยู่

ซึ่งคิดไปคิดมามันก็คล้ายๆกับคำว่า"นิยาม"ของสิ่งหนึ่งๆ

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2550

misc : Environmental Graphic

วันนี้ไปห้องสมุดแล้วไปยืนเปิดๆหนังสือบนชั้นดูเผื่อจะเจอ
อะไรมาใช้ทำงาน แล้วก็ไปเจอทฤษฎีที่น่าสนใจในหนังสือ



โดยไปเจอทฤษฎีเกี่ยวกับการมองของมนุษย์ซึ่งนำ
มาใช้กับการออกแบบกราฟฟิกเช่น
ว่าด้วยขนาดของมนุษย์
ตามปกติถ้าวัตถุมีขนาดเท่ากับตัวคน วัตถุนั้นจะไม่มี
ความน่าสนใจเป็นพิเศษ กลับกันถ้าหากวัตถุมีขนาด
ใหญ่ หรือ เล็ก กว่าตัวคน จะทำให้วัตถุนั้นดูน่าสนใจ
ขึ้นมา วัตถุที่เล็กกว่าตัวคนจะถูกอิทธิพลจากขนาด
ของตัวคนและทำให้เกิดความรู้สึกส่วนบุคคล วัตถุที่
มีขนาดเล็กมากๆนั้นจะดูมีค่าเหมือนอัญมณีเป็นต้น
ส่วนวัตถุที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวคนนั้นจะมีอิทธิพลต่อ
ขนาดของตัวคนทำให้รู้สึกถึงความโอ่อ่า ดูยิ่งใหญ่
เช่น เทวรูปหรืออนุสาวรีย์
สิ่งที่ใช้สำหรับสื่อสารกับคนๆเดียว(เช่นป้ายบอกราย
ละเอียดของงานศิลปะ)มักมีขนาดที่เล็กกว่าสิ่งที่ใช้
สำหรับสื่อสารกับคนหลายคน(เช่นป้ายรถประจำทาง)

มนุษย์นั้นมีระยะการมองเห็นเป็นรูปโคนกว้างประมาณ
15องศาไปข้างบนและล่าง(ตามทฤษฎี)ซึ่งสิ่งที่อยู่นอก
โคนหรืออยู่ในโคนแต่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับพื้นที่
ในการมองจะถูกมองข้ามได้ง่าย แต่ถ้าวัตถุมีขนาดใหญ่
และอยู่ในพื้นที่การมองวัตถุนั้นจะมีประสิทธิภาพในการ
สื่อสารกับผู้รับสารได้ดีกว่า ทั้งนี้การมองหรืออ่านสิ่งที่อยู่
นอกองศาการมองปกตินั้นจะทำได้ไม่สะดวกยกเว้นว่า
สิ่งนั้นจะทำมุมพอดีกับทิศทางการมองของผู้รับสาร

การมองเห็นของเด็กใช้ทฤษฎีเดียวกันกับของผู้ใหญ่แต่
แตกต่างกันตรงที่ของเด็กนั้นต้องย่อขนาดลงมาให้เหมาะสม
กับขนาดของเด็กด้วย และเด็กจะมีความยืดหยุ่นของทิศทาง
การมองมากกว่าผู้ใหญ่ และเด็กมักจะสนใจสิ่งที่มีขนาดใหญ่
กว่าตัวเองเสมอ

ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ในการออกแบบอะไร
หลายอย่างเพราะมันเป็นพื้นฐานทั่วไปที่เราอาจมองข้ามมันไป

จริงๆควรมีรูปประกอบด้วยแต่เนื่องจากไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้
เพราะตอนอ่านนั่งจดลงสมุดมารูปเลยทุเรศไปหน่อย
ไว้จะมาลงรูปให้ใหม่ทีหลังแล้วกันครับ

Lesson V : Structure

คราวที่แล้วก็มั่วไปเรื่องวัสดุที่จะเอามาใช้ทำโปรเจค
สัปดาห์นี้ตัดสินใจได้สักที สำหรับหัวข้อที่จะนำมาพัฒนา
เป็นโปรเจคคือ "Structure" หรือ "โครงสร้าง"
โดยได้หัวข้อมาจากงานแบบโครงสร้างของConstructivism

อันคำว่า "โครงสร้าง" นั้นมีหลายประเภทอาจหมายถึง
องค์ประกอบหลักที่สําคัญ ซึ่งนำประกอบเข้ากันเป็นรูปร่าง
ถ้าอ้างอิงตามวิกิพีเดียโครงสร้างแบ่งได้หลักดังนี้คือ

Abstract Structure(โครงสร้างทางทฤษฎี, นามธรรม)
Algebraic Structure(โครงสร้างทางพีชคณิต)
Chemical Structure(โครงสร้างทางเคมี)
Literary Structure(โครงสร้างทางวรรณกรรม)
Musical Composition(องค์ประกอบทางดนตรี)
Social Structure(โครงสร้างทางสังคม)

สิ่งที่จะนำมาใช้เ็ป็นหัวข้อของโปรเจคคือ
Abstract Structure โดยโครงสร้างทางทฤษฎีก็คือ
รูปแบบที่ถูกกำหนดโดย กฎเกณฑ์, คุณสมบัติ และ
ความสัมพันธ์ซึ่งถูกกำหนดไว้ แต่ยังมีอิสระในตัวมัน
และสามารถจดจำได้โดยประสบการณ์(เข้าใจว่าแบบนี้)
ถ้าจะให้อธิบายเป็นคำพูดคงลำบากเพราะผมก็ไม่แน่ใจ
ว่าจะอธิบายอย่างไรดีเอาเป็นว่าจะยกตัวอย่างให้อ่านดู
เผื่อจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง ตัวอย่างของAbstract Structure
ที่มีให้เห็น เช่น "หมากรุก" โดยหมากรุกนั้นมีทั้งข้อกำหนด
และอิสระในตัวมันเช่น ตัวKingของหมากรุกฝรั่ง ถูกกำหนดไว
้ว่า "หมากที่สามารถเดินได้1ช่องในทิศทางไหนก็ได้ โดยช่อง
นั้นไม่สามารถถูกรุกรานโดยหมากของอีกฝ่ายในตาเดินต่อไป"
แต่Kingไม่ได้ถูกกำหนดว่าต้องเป็น "หมากที่มีรูปร่างสูงและ
ตรงยอดประดับด้วยกางเขน" เพราะตัวKingนั้นอาจสามารถแทน
ได้ด้วยสิ่งอื่นเช่น ชิ้นส่วนตัวK หรือ ฟิกเกอร์ตัวละครอื่นๆ
เมื่อหมากรุกเป็นAbstract Structureก็เป็นได้ที่สามารถเล่น
หมากรุกในใจได้เนื่องจากสามารถจดจำได้โดยประสบการณ์
(ถึงทางปฎิบัติจะเป็นไปได้ยากก็ตาม)ทั้งนี้ หมากฮอส หรือ
หมากล้อม ก็ถือเป็นAbstract Structure เช่นเดียวกัน
แต่กีฬาส่วนใหญ่ไม่ถือเป็นAbstract Structureเพราะถึงแม้
ว่ากีฬาจะมีกฎก็ตามแต่ไม่ได้ถูกกำหนดตายตัวอาจเปลี่ยน
แปลงไปตามสภาพร่างกายของผู้เล่น, อุปกรณ์ และสภาพแวดล้อม

ตัวอย่างอื่นๆของAbstract Structureก็เช่น ภาษาที่เป็นทางการ
เพราะมีรูปแบบของไวยกรณ์, ศัพท์ ที่ชัดเจน แต่ภาษาปากไม่ใช่
เพราะสามารถไหลไปตามผู้พูดได้

เมื่อนำมาสรุปอีกครั้งก็คือ สิ่งที่มีข้อกำหนดตายตัว ทำให้สามารถ
จดจำได้ เมื่อเข้าใจว่าเป็นแบบนี้ก็สามารถโยงไปหาสิ่งรอบๆตัวได้
และนำมาวิเคราะห์ดูว่ามันใช่รึเปล่า เช่น ป้ายต่างๆนี่น่าจะถือว่าเป็น
Abstract Structureได้เพราะ สัญลักษณ์มันก็มีรูปแบบในการสื่อ
ความหมายของมันอยู่เช่นป้ายห้องน้ำ มันก็บอกอยู่แล้วว่าต้องเป็น
ชาย-หญิง แต่รูปที่ใช้อาจไม่ใช่หัวกลมและลำตัวรูปเรขาคณิตเสมอไป

ก็ต้องลองมานั่งคิดดูว่าอะไรที่มันตายตัวแต่ไหลได้
แล้วนำมาโยงเป็นโปรเจคที่จะทำต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550

misc : Thai Ad vs Foreign Ad

หลังจากผ่านปีสามมาหนึ่งภาคการศึกษาก็ได้รู้จักกับสื่อโฆษณาของต่างชาติมากขึ้น
เห็นแล้วก็ตกใจกับความคิดและไอเดียของชาวต่างชาติ
มาถึงภาคการศึกษานี้ก็ต้องเรียนสร้างสื่อโฆษณาเองบ้างเลยไปดูๆเวปที่เกี่ยวกับAd
ของต่างประเทศ ดูไปดูมาพอมาเทียบกับของไทยแล้วช่างน่าสลด

ปัจจุบันต้องยอมรับว่าAdของไทยส่วนมาก(มากๆ)ยังใช้การนำดารานักแสดงมา
เป็นตัวโปรโมทสินค้ามากกว่าที่จะใช้ไอเดียหัวคิดในการแสดงคุณลักษณะของสินค้า
โดยไม่ใช่ทางตรง เช่น โอโม่ขาวหมดจด อะไรทำนองนี้
ถ้านำมาเทียบกับศาสตร์ทางศิลปะอย่างอื่น เช่นพวก สถาปัตยกรรม ประติมากรรม และ
จิตรกรรม ไทยได้รับเอาอิทธิพลของต่างชาติเข้ามาและปรับปรุงให้ของตัวเองดีขึ้น
แล้วเพราะอะไรถึงไม่เอาAdของต่างชาติมาดูแล้วเอาไปพัฒนาไอเดียบ้าง?
บางคนอาจจะคิดว่าดูเหมือนไปลอกของต่างชาติมา แล้วไงล่ะ? ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนมุมมอง
ดูบ้างแล้วเมื่อไรมันจะพัฒนาสักที นักออกแบบบางท่านก็มีไอเดียดีๆเยอะแต่ไม่รู้ทำไม
ถึงไม่ค่อยเห็นAdไทยดีๆออกมาให้เห็น


ตัวอย่างAdดีๆของไทยก็ยังมีนะ เช่น Coke ที่นำเอาขวดโค้กมาเรียงในแบบต่างๆสื่อถึง
สิ่งที่กำลังพูดได้ดี ยอมรับว่าคนทำหัวคิดดีจริง น่าจะเคยดูกันแล้วล่ะ แต่เผื่อใครนึกไม่ออกก็
ลองไปดูแล้วกันนะhttp://www.adintrend.com/show_ad.php?id=2004